วิทยาศาสตร์ของปลาร้า
อาหารไทยยังคงได้รับความนิยมในระดับนานาชาติอย่างต่อเนื่อง ในปี พ.ศ. 2566 เว็บไซต์ TasteAtlas ได้จัดอันดับอาหารจำพวกสลัด ซึ่ง “ส้มตำ” หรือชื่อภาษาอังกฤษที่ชาวต่างชาติรู้จักกันดี คือ Spicy Papaya Salad ติด Top10 ด้วยเช่นกัน
ส้มตำเป็นอาหารรสจัดที่มีรูปแบบการปรุงอย่างหลากหลาย และหนึ่งในเครื่องปรุงรสที่นิยมใส่ในส้มตำคือ “ปลาร้า” นั่นเอง
หากถามว่าปลาร้าฮอตขนาดไหน จากข่าวปีที่แล้วพบว่าบริษัทอาหารใหญ่ก็โดดเข้าร่วมในตลาดน้ำปลาร้าด้วย เนื่องจากตลาดน้ำปลาร้ามีมูลค่าสูงกว่า 1,000 ล้านบาทและตลาดยังโตอย่างต่อเนื่องทั้งในและต่างประเทศ
โดยที่มูลค่าการส่งออกที่บันทึกไว้โดยกระทรวงพาณิชย์ พบว่าระหว่างปี พ.ศ. 2550 – 2562 ได้ส่งออกปลาร้า 87 ล้านตัน ซึ่งมีมูลค่าการส่งออกกว่าหนึ่งหมื่นล้านบาท
ส่วนคุณค่าทางโภชนาการของปลาร้านั้น พบว่าในปลาร้า 100 กรัม ให้พลังงาน 148 กิโลแคลอรี โปรตีน 15.30 กรัม ไขมัน 8 กรัม คาร์โบไฮเดรต 3.90 กรัม ธาตุเหล็ก 3.40 มิลลิกรัม วิตามินบี1 (Thiamine) 0.02 มิลลิกรัม วิตามินบี2 (Riboflavin) 0.16 มิลลิกรัม และ วิตามินบี3 (Niacin) 0.80 มิลลิกรัม
จากข้อมูลดังกล่าว จะเห็นได้ว่าปลาร้าเป็นอาหารที่ให้โปรตีนสูง แต่การบริโภคก็ต้องอยู่ในปริมาณที่พอดี เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคไตเนื่องจากปริมาณโซเดียมที่สูงในปลาร้านั่นเอง
นอกจากนี้ปลาร้านับเป็นแหล่งจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ จากการศึกษาของ Rodpai และคณะ ในปี 2565 (ค.ศ.2021) ได้ตรวจสอบตัวอย่างปลาร้าจาก 3 จังหวัด ได้แก่ ขอนแก่น ร้อยเอ็ด และกาฬสินธุ์ พบแบคทีเรียที่มีประโยชน์ในกลุ่ม Lactobacillus, Tetragenococcus มากกว่าจุลินทรีย์กลุ่มอื่น
สำหรับลักษณะของปลาร้าที่ได้มาตรฐานตามข้อกำหนดของสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คือ
สีของปลาร้าปกติตามลักษณะเฉพาะของปลาร้า ส่วนประกอบในปลาร้าต้องพอดีไม่แห้งไม่แฉะไม่เละ เนื้อปลาสีชมพูอ่อนหรือสีอื่นเช่นเหลืองอ่อน ส้มอ่อน น้ำตาลอ่อน ลักษณะนุ่ม สภาพผิวคงรูป ไม่ฉีกขาด ไม่มีกลิ่นไม่พึงประสงค์ เช่น กลิ่นคาว กลิ่นเหม็นเปรี้ยว รสชาติไม่เปรี้ยวบูด
นอกจากนี้ต้องมีปริมาณเกลือไม่น้อยกว่าร้อยละ 18 โดยน้ำหนัก และต้องไม่พบสิ่งแปลกปลอมอื่น ๆ เช่น เส้นผม แมลง หนอน ชิ้นส่วนสัตว์อื่น ๆ ในปลาร้า
ขอบคุณแหล่งที่มาจากเพจ facebook : IPST Thailand